จากปัญหาภัยพิบัติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วทุกมุมโลก ประกอบกับปัญหาสังคมที่มีขนาดใหญ่ หลากหลายและ ซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้การแก้ปัญหาโดยประเทศใดประเทศหนึ่งแต่เพียงลำพังนั้นไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ขณะเดียวกันประชาชนของแต่ละประเทศก็ไม่สามารถที่จะพี่งพิงความช่วยเหลือจากรัฐบาลของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ ต้องอาศัยพลังพลเมืองที่พร้อมลงมือช่วยเหลือผู้อื่นมาช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว ก่อให้เกิดกระแสความตื่นตัวของงานอาสาสมัครในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามการทำให้พลเมืองที่พร้อมลงมือเปลี่ยนแปลงสังคมได้ใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ และมีจำนวนมากขึ้นเพื่อรองรับกับปัญหาสังคมขนาดใหญ่นั้นถือเป็นความท้าทาย ไม่เพียงแต่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้นแต่เป็นความท้าทายของประเทศทั่วโลก เนื่องจากการสร้างพลเมืองที่พร้อมลงมือเปลี่ยนแปลงสังคมต้องอาศัยกลไกสร้างการมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาร่วมกันและยกระดับการขับเคลื่อนงานอาสาสมัครให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) รวมทั้งแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างเป็นระบบ

การจัดประชุมระดับชาติด้านการอาสาสมัครครั้งที่ 2 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเครือข่ายจิตอาสาและภาคีกว่า 20 องค์กร ซึ่งมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 800 คน จึงเป็นอีกเวทีหนึ่งในการร่วมหาแนวทางจากทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคการศึกษา ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคม เพื่อพัฒนางานอาสาสมัครให้เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไป

รัฐบาลไทยตื่นตัวตั้งศูนย์ประสานงานฯ แห่งชาติ และงานอาสาสมัครภาครัฐ

            สำหรับประเทศไทย ภาครัฐถือเป็นหน่วยงานที่มีอาสาสมัครมากที่สุดเป็นหลักล้านคนกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ และยังมีบทบาทสนับสนุนให้งานอาสาสมัครระดับประเทศเข้มแข็งมากขึ้นได้ โดยการประชุมครั้งนี้ได้มีการหยิบยกบทบาทของ “ศูนย์ประสานงานองค์กรอาสาสมัครแห่งชาติ” ซึ่งเป็นกลไกกลางเพื่อสร้างความร่วมมือในการส่งเสริมงานอาสาสมัครของประเทศไทย ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มอบหมายให้เครือข่ายจิตอาสารับผิดชอบ ในที่ประชุมได้เน้นย้ำบทบาทของศูนย์ฯ นี้ว่า ควรเป็นกลไกกลางในการเชื่อมประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรอาสาสมัคร และพร้อมตอบสนองต่อประเด็นปัญหาใหม่ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงในสังคม รวมถึงสามารถสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการสนับสนุนการจัดการอาสาสมัคร เช่น ภาคธุรกิจ ซึ่งเชื่อว่ามีอาสาสมัครวิชาชีพอยู่จำนวนมาก แต่ที่ผ่านมายังไม่สามารถเข้าถึงคนกลุ่มนี้เพื่อนำทักษะความสามารถมาช่วยเหลือสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ

ส่วนเรื่องการจัดการอาสาสมัครในภาครัฐ ซึ่งแม้จะมีอยู่จำนวนมากแต่ก็พบว่ามีการนับซ้ำอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน เพราะมีอาสาสมัครไม่น้อยทำงานให้กับหลายหน่วยงาน เพราะฉะนั้นการจัดการและรักษาอาสาสมัครให้ทำงานร่วมกันระยะยาวได้นั้น หน่วยงานรัฐจะต้องกำหนดภารกิจที่ชัดเจน รวมทั้งต้องมีการติดตามและพัฒนาศักยภาพให้อาสาสมัคร มีการประเมินผล รวมถึงยกย่องให้กำลังใจ นอกจากนี้ควรมีกลไกกลางเชื่อมโยงอาสาสมัครระดับพื้นที่ ในการร่วมกันทำงานเพื่อตอบโจทย์ชุมชน มากกว่าหน่วยงานรัฐที่ตนสังกัด โดยให้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมบริหารจัดการอาสาสมัครในพื้นที่ด้วย

ทุกภาคส่วนตื่นตัวงานอาสา สร้างพลเมืองร่วมลงมือทำ

ในส่วนของภาคส่วนอื่นๆ นั้น การสร้างการเติบโตให้แก่งานอาสาสมัคร เริ่มต้นที่การบ่มเพาะเยาวชน ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานและสถาบันการศึกษาที่ใช้ “กระบวนการอาสาสมัครเป็นเส้นทางสู่การสร้างพลเมืองเพื่อลงมือเปลี่ยนแปลงสังคม” อาทิ มูลนิธิสยามกัมมาจลซึ่งเป็นภาคประชาสังคมที่ส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมเพื่อส่วนรวม โดยใช้ ’โครงการ’ เป็นเครื่องมือพัฒนาเยาวชนในระดับจังหวัด เปิดโอกาสให้เยาวชนได้คิดวิเคราะห์ชุมชนตนเอง ก่อนออกแบบ และลงมือดำเนินโครงการ โดยมูลนิธิฯ เป็นพี่เลี้ยงหนุนเสริม ตั้งคำถามชวนคิด สร้างกระบวนการเรียนรู้ พร้อมเชื่อมโยงผู้ใหญ่ในจังหวัดมาร่วมสนับสนุน ซึ่งพบว่ากลไกนี้ได้สร้างพลเมืองรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ชุมชนสามารถจัดการตนเองและเกิดความยั่งยืนได้

นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยที่ใช้กระบวนการอาสาสมัครในการส่งเสริมการศึกษา โดยมีอาจารย์เป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ คอยตั้งคำถามให้นักศึกษาเชื่อมโยงปัญหาสังคมเข้าหาตัวเองและสร้างเงื่อนไขให้สัมผัสปัญหาจริงผ่านกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน ในขณะเดียวกันยังมีสถาบันการศึกษาบางแห่งบ่มเพาะจิตอาสาด้วยการเปิดโอกาสให้พูดคุย อภิปราย ถกเถียงด้วยหลักประชาธิปไตย การทดลองทำ ดังนั้น ทุกห้องเรียนสามารถส่งเสริมความเป็นจิตอาสาได้ อย่างไรก็ตามยังมีสถาบันการศึกษาที่มองว่าเป็นหน้าที่ของอาจารย์สังคมศาสตร์เท่านั้น

ในส่วนของกลไกส่งเสริมงานอาสาสมัครในมหาวิทยาลัยนั้น ปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งในวิชาเรียน บางมหาวิทยาลัยเปิดศูนย์อาสาสมัคร บางมหาวิทยาลัยใช้กิจกรรมนอกหลักสูตร โดยร่วมมือกับชุมชนโดยรอบให้เป็นพื้นที่การเรียนรู้ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตามต้องคำนึงถึงการสร้างความเข้าใจ แรงบันดาลใจ ตลอดจนทักษะต่างๆ ให้แก่นักศึกษาด้วย

การประชุมนี้ยังได้นำเสนอกรณีศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นด้วย ซึ่งพบว่ามหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับงานอาสาสมัคร จึงมีโครงการต่างๆ มากมาย อาทิ การนำนักศึกษาไปช่วยฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจภายในชุมชนของเมืองเล็กๆ ที่ยังไม่พัฒนา การช่วยฟื้นฟูเยียวยาผู้ประสบภัยหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ ทั้งนี้ เยาวชนญี่ปุ่นส่วนมากสนใจเป็นอาสาประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และยังมีสิทธิให้ข้อคิดเห็นกับผู้กำหนดนโยบายได้

สำหรับ “บทบาทภาคธุรกิจกับการส่งเสริมงานอาสาสมัคร” นั้น ภาคเอกชนได้มีการส่งเสริมพนักงานอาสาสมัครพร้อมๆ กับการริเริ่มโครงการซีเอสอาร์ ซึ่งมีพัฒนาการเกี่ยวเนื่องกัน โดยปัจจุบันภาคธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น รวมถึงมีการพัฒนาพนักงานผ่านการทำงานอาสาสมัครเพราะบริษัทต่างๆเชื่อว่านอกจากจะได้ช่วยเหลือสังคมแล้วยังช่วยพัฒนาบุคลากรด้วย เช่นที่บริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส เอบีเอเอส จำกัด สำนักงานใหญ่ได้ให้นโยบายการรับพนักงานโดยลดความสำคัญของเกรดเฉลี่ยลงและพิจารณาที่การทำงานอาสามากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้พนักงานทำงานอาสาสมัครมากขึ้น

จากกรณีศึกษาการบริหารจัดการอาสาสมัครพนักงานองค์กรในต่างประเทศพบว่า การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรภาคธุรกิจและภาคสังคม เป็น “Win Win” ทั้ง 3 ฝ่าย คือพนักงานได้พัฒนาทักษะต่างๆ ส่วนองค์กรธุรกิจก็ได้พนักงานที่มีทักษะดีขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ภายในองค์กรดีขึ้น และยังได้ข้อมูลเชิงลึกของพื้นที่ที่อาจจะนำไปใช้ต่อยอดได้ ส่วนองค์กรภาคสังคมได้พัฒนาศักยภาพด้วยทักษะจากภาคธุรกิจ เช่นในฮ่องกงมีการใช้กลยุทธ์การมอบรางวัลให้แก่องค์กรที่สนับสนุนงานอาสาสมัครเพื่อกระตุ้นให้มีอาสาสมัครพนักงานองค์กรเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การตัดสินใจทำงานร่วมกันระหว่างภาคธุรกิจและภาคสังคมนั้น อาจต้องมองถึงทิศทางและนโยบายที่สอดคล้องกันหรือพัฒนาร่วมกันได้ ก็จะทำให้มีโอกาสสูงที่จะร่วมมือกันทำงานได้ดีในระยะยาว

ด้านภาคประชาสังคมซึ่งถือว่าอาสาสมัครเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนงานให้แก่องค์กรนั้น ที่ประชุมได้มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นการยกระดับและพัฒนาศักยภาพองค์กรที่รับอาสาสมัคร ตลอดจนการสร้างความผูกพันและรักษาอาสาสมัคร เนื่องจากอาสาสมัครมีความหลากหลาย ดังนั้นองค์กรที่เป็นผู้รับอาสาสมัครจำเป็นต้องให้ข้อมูลหรือหลักคิดในสิ่งที่อาสาสมัครจะต้องพบเจอและได้เรียนรู้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมให้เขาดูแลตัวเองได้ระดับหนึ่ง รวมทั้งสื่อสารให้เขาตระหนักว่า งานอาสาสมัครคือช่องทางสำหรับการพัฒนาตนเอง ซึ่งอาสาสมัครต้องเปิดใจและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตนเองด้วย

ขณะเดียวกันองค์กรต้องเตรียมความพร้อมภายใน โดยมีบุคลากรที่สามารถดูแลบริหารจัดการอาสาสมัครได้ ต้องเป็นนักฟังที่ดี สามารถเข้าไปช่วยเหลือเวลาที่อาสาสมัครเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ทันท่วงทีเพื่อไม่ให้ปัญหานั้นขยายวงกว้างออกไป ซึ่งจะทำให้อาสาสมัครรู้สึกว่ามีที่ปรึกษาคอยดูแล ทั้งนี้องค์กรที่ทำงานแก้ปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อน นอกจากจะต้องมีระบบบริหารจัดการอาสาสมัครแล้ว ยังต้องสื่อสารกับสาธารณะเพื่อปรับทัศนคติของคนในสังคมรวมถึงบุคลากรในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาร่วมกันด้วย นอกจากนี้ พัฒนาการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้องค์กรภาคสังคมที่ทำงานในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม เริ่มนำเทคโนโลยีมาสร้างการมีส่วนร่วมกับให้คนในสังคม เช่น การใช้เทคโนโลยีและแอพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือให้ทุกคนร่วมเป็นอาสาสมัครได้ เพียงส่งหรือแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่อาศัยอยู่ เป็นต้น

ยกระดับงานอาสา เพิ่มผลกระทบ ตอบเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน

            การประชุมครั้งนี้ยังมุ่งเน้นที่จะยกระดับงานอาสาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยการเพิ่มพูนสมรรถนะและผลกระทบจากการทำงานอาสาสมัคร ทั้งนี้องค์กรอาสาสมัครต้องเชื่อมโยงปัญหาเข้ากับพลังและศักยภาพของอาสาสมัคร มีการลงมือทำและทบทวนปัญหาที่เกิดขึ้น ปรับเปลี่ยนกระบวนการอยู่เสมอ นอกจากนี้ องค์กรที่มีกระบวนการที่เอื้อให้อาสาสมัครเกิดการเรียนรู้ และเข้าถึงงานที่ได้ใช้ศักยภาพของเขา ยังช่วยให้อาสาสมัครเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวเองได้ โดยมีตัวอย่างจากครูอาสาเกื้อฝันเด็ก ล่ามอาสาด้านปัญหาสุขภาพ ที่เล่าว่าพวกเขาได้พัฒนาทักษะ เปลี่ยนวิธีคิดตนเอง และเกิดแรงบันดาลใจจากการทำงาน

สำหรับ “แนวโน้มระดับโลกด้านงานอาสาสมัคร” นั้น ปัจจุบันงานอาสาสมัครสามารถเป็นเครื่องมือผลักดันเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมายได้ ยกตัวอย่างเช่น อาสาสมัครในโครงการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติของสำนักงานว่าด้วยกลยุทธ์ระหว่างประเทศเพื่อการลดภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNISDR) ทำงานเกี่ยวกับการวางแผนรับมือภัยพิบัติของไทยในระดับนโยบาย มีอาสาสมัครที่ทำงานด้านการผลักดันให้คนรุ่นใหม่ให้ตระหนักรู้และมีส่วนร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และอาสาสมัครชาวญี่ปุ่นที่ให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาฝีมือหัตถกรรมที่สถานแรกรับเด็กหญิงบ้านธัญญพร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาสาสมัครมีส่วนร่วมในงานได้หลายระดับ และไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใดก็ตาม งานอาสาสมัครก็สามารถสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ทั้งสิ้น