ที่มา : https://www.thereporters.co/tw-politics/0806232001/
ใช้ AI เข้าช่วยตรวจเรื่องทุจริต เตรียมเผยข้อมูลให้โปร่งใส – ตรวจสอบได้ เน้น สร้างรากฐานที่ดี ยัน ไม่ใช่เช็คบิลเรื่องส่วนบุคคล
วันนี้ (8 มิ.ย. 66) ที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) หรือ ACT อาคารศรีจุลทรัพย์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นำคณะทำงานต่อต้านคอร์รัปชัน พรรคก้าวไกล ประกอบด้วย นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล นายรังสิมันต์ โรม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ นายวรภพ วิริยะโรจน์ และ นางสาวเบญจา แสงจันทร์ เดินทางเข้าพบหารือแลกเปลี่ยนนโยบายกับตัวแทนองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) นำโดย นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ
นายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ประเทศไทย (ACT) เผยว่า ดีใจที่พรรคการเมืองให้ความสนใจ และจริงใจในการแก้ไขปัญหาทุจริต คอรัปชั่น ในฐานะองค์กรภาคประชาชน ทั้งเครือข่ายประชาชนที่มุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหานี้ เราเล็งเห็นอยู่แล้วว่าบทบาทของพรรคการเมืองมีความสำคัญในการแก้ปัญหา ตนเองอยากให้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของคาคการเมือง ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเราได้แลกเปลี่ยนตัวอย่างในบางเรื่องเพื่อให้เห็นภาพตรงกัน
“นโยบายสำคัญในหลายเรื่อง ทั้งการศึกษา สิ่งแวดล้อม การแก้ไขเหลื่อมล้ำ ทำมา 10 กว่าปี ซึ่งจะไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่แก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น โดยเราได้เสนอกระบวนการมีส่วนสร่วม มีเครื่องมืออย่างเป็นระบบในการแก้ไขปัญหา เพราะไม่มีภาคส่วนใดส่วนหนึ่งแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมากมายด้วยตัวเองได้ และคงเห็นโอกาสได้ร่วมมือกันในอนาคต” นายวิเชียรกล่าว
ส่วนความคาดหวังในการพูดคุยกับพรรคก้าวไกลจะนำไปสู่การแก้ปัญหาได้หรือไม่ นายวิเชียร ระบุว่า ตนเองคาดหวังในระดับที่แสดงเจตจำนงมุ่งมั่นให้เห็นความสำคัญของความยั่งยืนทางการเมือง ว่าเรื่องนี่จะได้รับการใส่ใจ และแก้ไข เพื่อได้รับการตอบรับจากสังคมโดยรวม เรื่องแก้ทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเรื่องที่อยากให้แก้ไขมากที่สุดนั้นมีเยอะไปหมด ตอนนี้อยากแก้เรื่องที่กระทบตัวเงินงบประมาณประเทศ
นายพิธา ระบุมา สาระสำคัญในวันนี้คือ การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเพิ่มดัชนีคอรัปชั่น (CPI) ให้สูงขึ้น พร้อมพูดคุยถึงแผนระยะสั้นใน 100 วัน ใน 1 ปี และใน 4 ปี พร้อมดึงดูดเศรษฐกิจ การลงทุนระหว่างประเทศให้ดีขึ้น รวมถึงมี ส.ส. ที่อภิปรายเรื่องคอรัปชั่นในสภามาร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีมาช่วยเรื่องนี้
“หลายครั้งในการอภิปรายก็ได้ข้อมูลมาจาก ACT ที่ใช้เอไอในการตรวจดูเรื่องทุจริต ยิ่งมีกฎหมายมาก ก็มีโอกาสเป็นส่วย เป็นตั๋ว เราก็จะใช้ดุลพินิจลดการใช้ตั๋วลง ตัดบางตั๋ว หรือกฎหมายที่ซับซ้อนลงไป และทำงานร่วมกันในอนาคต”
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าการพูดคุยในครั้งนี้จะนำไปสู่การประชุมกันในคณะทำงานของพรรคร่วมด้วยหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า ทางพรรคก้าวไกลจะมีนายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นแกนนำของทางพรรคในการพูดคุยเรื่องนี้ และทางพรรคเพื่อไทย กับพรรคเสรีรวมไทยด้วย ก็จะมีตัวแทนพูดคุยด้วย ซึ่งในการพูดคุยครั้งนี้มีโครงการของรัฐบาลชุดที่แล้วที่ผ่านการอภิปรายในสภาไป 4 – 5 เรื่องต่อปี และตลอด 4 ปีก็มีประมาณ 20 เรื่อง
นายพิธา ระบุต่อว่า การทำให้โปร่งใสโดยที่ไม่ใช้งบประมาณนั้นจะเน้นเปิดเผยข้อมูลการประชุมรัฐสภา การประชุมกรรมาธิการ ให้สื่อมวลชนสามทรถถ่ายทอดสดได้ ซึ่งจะทำให้โปร่งใสตรวจมอบได้โดยที่ยังไม่ต้องไปแก้พ.ร.บ. หลายส่วน ที่อาจใช้ระยะเวลานาน ข้อมูลที่เคยเป็นความลับก็จะถูกเปิดเผยได้ ทำให้การทำงานอยู่ในร่องในรอย ไม่ต้องใช้งบประมาณประเทศเพิ่ม ส่วนงบประมาณของกระทรวงกลาโหม จะเปิดเผยเท่าที่กฎหมายอนุญาตก่อน ยังไม่ต้องมีการแก้ไข ยกเว้นเรื่องความลับระหว่างประเทศที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ทั้งนี้ นายพิธา ยังระบุอีกว่า ทางพรรคจะเน้นแก้ไขในเรื่องของโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลที่ผ่านมาในปี 65 ที่มีการจัดซื้อ 5 ล้านโครงการ คิดเป็น 70% ของโครงหารภาครัฐทั้งหมด เน้นดูเรื่องที่สำคัญและเจาะจงแก้ไขลงมาเรื่อย ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลังจากจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้จะเป็นการเช็คบิล หรือสะสางการทุจริตที่ค้างคาหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า เป็นเรื่องการสร้างระบบ ไม่ใช่แค่ในรัฐบาลชุดไหน แต่ต้องสะสางตั้งแต่รัฐบาลก่อน รัฐบาลนี้ และรัฐบาลหลังจากนี้ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัวในการชำระแค้น ไม่ใช่เรื่องที่คนมีวุฒิภาวะพอจะมาคิดแบบนั้น เราต้องลดการผูกขาด เพิ่มความโปร่งใส ซึ่งเชื่อว่าจะดีกับทุกฝ่าย และการสร้างรากฐานเหล่านี้ก็จะเป็นวัฒนธรรมใหม่ของการเมืองไทย ทุเลาปัญหาการทุจริตที่กัดกินประเทศไทย
เมื่อถามว่ารวมถึงการเปลี่ยนคณะกรรมการขององค์กรอิสระด้วยหรือไม่ นายพิธา ระบุว่า องค์กรอิสระที่ไม่อิสระจริง เพราะมาจากการแต่งตั้ง เราต้องให้คนที่ประชาชนเลือกมา มีคณะกรรมการในการเลือกมาจากทั้งฝั่งรัฐบาล ฝ่ายค้าน เพื่อตอบโจทย์คนข้างล่าง ไม่ใช่คนที่แต่งตั้งเข้ามา และเป็น 1 ใน 300 นโยบายของพรรคก้าวไกลด้วย
“ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวหรือรายบุคคล แต่เป็นเรื่องของการใช้อำนาจ ไม่ใช่มาจากแต่งตั้งเสมอไป แต่มีที่มาของคณะกรรมการที่เราเสนอไป คละกัน ให้เป็นกลางที่สุด ต้องรับรองคนที่จะมาเป็นองค์กรอิสระให้อิสระจริง ๆ ซึ่งยืนยันว่าต้องแก้กฎหมาย แต่เรื่องโล๊ะคณะกรรมการนั้นต้องหารือกันอีก”