ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/tnnexclusive/167821/

จากประสบการณ์ตรงสู่การต่อสู้: “บิ๊ก” HAND ผุดไอเดีย “ต้องแฉ” ชวนคนไทยสู้โกง


เคยสงสัยไหมว่า ทำไมปัญหาคอร์รัปชันในสังคมไทยถึงยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง? “บิ๊ก” สุภอรรถ โบสุวรรณ จาก HAND Social Enterprise จะพาคุณไปสำรวจต้นตอของปัญหา ผ่านประสบการณ์ตรงของเขาที่เผชิญหน้ากับการทุจริต จนนำไปสู่การสร้างสรรค์แพลตฟอร์ม “ต้องแฉ” เพื่อเปิดโปงความไม่โปร่งใส และชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้https://unitus.synergy-e.com/custom/inread/sf/src/html/r.html?ox_ver=8.6

มาร่วมหาคำตอบกันว่า เราจะสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรมได้อย่างไร พร้อมเรียนรู้แนวทางแก้ไขผ่านการสร้างความร่วมมือและใช้เทคโนโลยีอย่าง ACT Ai เพื่อตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง

ปัญหาคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในสังคมไทย

ปัญหาคอร์รัปชันในสังคมไทยดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ยาก แม้จะมีความพยายามจากหลายภาคส่วนในการต่อสู้กับปัญหานี้มาอย่างยาวนาน แต่สถานการณ์โดยรวมก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก ท่ามกลางความท้อแท้ของหลายคน ยังมีบุคคลและองค์กรจำนวนหนึ่งที่ยังคงเดินหน้าสู้ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ หนึ่งในนั้นคือ “บิ๊ก” สุภอรรถ โบสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ HAND Social Enterprise หรือ แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ได้ใช้ประสบการณ์ตรงจากการเผชิญหน้ากับการทุจริต มาสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาร่วมกันต่อต้านคอร์รัปชันในรูปแบบต่างๆ

“ความดี” ในสังคมไทย ถูกนิยามอย่างไร

“ความดีไม่ใช่แค่ความซื่อสัตย์สุจริตส่วนบุคคล แต่คือการกล้าลุกขึ้นสู้กับความไม่ถูกต้องในสังคม ร่วมกันสร้างประเทศที่โปร่งใสและเป็นธรรม”

“บิ๊ก” สุภอรรถ เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามกับสังคมไทยว่า “ความดี” ที่เราใช้กำหนดคุณค่าของคนนั้น แท้จริงแล้วคืออะไร เขาชี้ให้เห็นว่า ความดีในบริบทสังคมไทยมักถูกเชื่อมโยงเข้ากับความกตัญญูและการเชื่อฟังอย่างไม่มีเงื่อนไข ซึ่งในหลายกรณีถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด จนกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างระบบอุปถัมภ์และวัฒนธรรมบุญคุณที่บิดเบือน 

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการสร้างสังคมที่ซื่อตรงและเป็นธรรม การจะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยพลังของคนจำนวนมากที่พร้อมจะกล้าคิด กล้าตั้งคำถาม เข้าใจความหมายที่แท้จริงของความดี และกล้ายืนหยัดต่อสู้กับสิ่งผิด แม้จะต้องเผชิญกับแรงต้านทางสังคมก็ตาม

ประสบการณ์คอร์รัปชันในการทำธุรกิจ บทเรียนสำคัญที่ไม่อาจละเลย

นอกจากมุมมองในระดับสังคมแล้ว ‘สุภอรรถ’  ยังได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงของเขาในการเผชิญหน้ากับปัญหาคอร์รัปชัน ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เขากำลังเริ่มต้นทำธุรกิจสายการบินเช่าเหมาลำ ในขั้นตอนสุดท้ายของการขออนุญาต ‘สุภอรรถ’ ต้องเผชิญกับการถูกเรียกรับสินบนจากเจ้าหน้าที่ เขาตั้งคำถามว่า ในประเทศที่มีกฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน เหตุใดการทำธุรกิจตามครรลองที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องยาก และเหตุใดการจ่ายเงินใต้โต๊ะจึงกลายเป็นทางออกที่ใครๆ ก็เลือกเอา ทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ด้วยจุดยืนที่มั่นคงในเรื่องความสุจริต 

‘สุภอรรถ’ จึงเลือกที่จะไม่จ่ายสินบนและยอมให้ธุรกิจหยุดชะงัก เขามองการณ์ไกลว่า การจ่ายสินบนเพียงครั้งเดียวจะนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต ทั้งการถูกรีดไถและการตกเป็นเบี้ยล่างให้กับผู้มีอำนาจ เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เราตระหนักว่า คอร์รัปชันไม่ใช่แค่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาเชิงระบบที่เราทุกคนมีส่วนได้ส่วนเสียและจำเป็นต้องร่วมมือกันจัดการอย่างบูรณาการ

โครงการต่อต้านคอร์รัปชัน แนวคิดสู่การปฏิบัติ เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน 

ด้วยแรงบันดาลใจจากประสบการณ์เหล่านี้ ‘สุภอรรถ’ จึงได้ริเริ่มโครงการต่อต้านคอร์รัปชันขึ้นมา โดยมีแนวคิดหลักคือการสร้างความร่วมมือ (Collaboration) จากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคประชาชน มาระดมความคิดและพลังในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน 

หนึ่งในโครงการสำคัญที่เกิดขึ้นคือการสร้างแพลตฟอร์ม “ต้องแฉ” ที่ประยุกต์ใช้แนวคิด Crowdsourcing ในการต่อต้านคอร์รัปชัน โดยเปิดพื้นที่ให้ประชาชนสามารถส่งเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตที่พบเห็น ผ่านกระบวนการที่เข้าถึงง่ายและปลอดภัย สิ่งสำคัญคือ “ต้องแฉ” ให้ความสำคัญกับการปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแส และเน้นไปที่เนื้อหาของเรื่องร้องเรียนเป็นหลัก 

“ต้องแฉ ไม่ใช่แค่แพลตฟอร์ม แต่เป็นพื้นที่ที่เปิดให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่โปร่งใสและเป็นธรรม”

นอกจากนั้น “ต้องแฉ” ยังได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ ป.ป.ช. โดยเฉพาะศูนย์ CDC  (Corruption Deterrence Center) เพื่อติดตามประเด็นร้อนและส่งต่อให้หน่วยงานในพื้นที่ดำเนินการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว กลไกและความร่วมมือเหล่านี้ เป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เสียงของภาคประชาชนถูกรับฟังมากขึ้น และนำไปสู่การจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างทันท่วงที

จัดซื้อจัดจ้าง ต้นตอของปัญหาคอร์รัปชันขนาดใหญ่ และทางออกที่เป็นรูปธรรม

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ ‘สุภอรรถ’ และ HAND ให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือปัญหาการทุจริตในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งถือเป็นช่องทางใหญ่ของการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ด้วยจำนวนโครงการและมูลค่างบประมาณที่มหาศาล ซึ่งอาจสูงถึง 3-5 ล้านโครงการต่อปี การตรวจสอบโดยพึ่งพาเจ้าหน้าที่รัฐเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป 

‘สุภอรรถ’ จึงผลักดันให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง โดยได้ร่วมมือกับหลายภาคส่วนในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ACT AI” ที่รวบรวมและนำเสนอข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างจากหน่วยงานต่างๆ ในรูปแบบที่ง่ายต่อการเข้าถึงและวิเคราะห์ ทำให้ภาคเอกชน ภาคประชาชน และสื่อมวลชนสามารถเข้ามาตรวจสอบความผิดปกติ สืบหาข้อมูลโครงการที่ตนสนใจ และระบุการจัดซื้อจัดจ้างที่มีความเสี่ยงสูง โดยอาศัยตัวชี้วัดและเกณฑ์มาตรฐานสากลในเรื่องคอร์รัปชัน ควบคู่ไปกับการประมวลผลข้อมูลด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ความโปร่งใสที่เกิดจากการเปิดเผยข้อมูลและการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมนี้ จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตได้อย่างก้าวกระโดด

“เทคโนโลยีอย่าง ACT Ai เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบและแจ้งเบาะแส”

ความหวังที่จับต้องได้ ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง

“การต่อสู้กับคอร์รัปชันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎหมายหรือการลงโทษ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชันในทุกระดับ”

ในท้ายที่สุด ‘สุภอรรถ’ และ HAND ไม่ได้ต้องการเพียงแค่เปิดโปงการทุจริตในสังคม แต่ยังมุ่งสร้างความหวังและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม โดยแสดงให้เห็นว่า มีอีกหลายทางที่ทุกคนสามารถช่วยกันสร้างสังคมที่สุจริตและเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการไม่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงจรทุจริต การแจ้งเบาะแสเมื่อพบเห็นการกระทำผิด การคิดค้นระบบและมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนการรณรงค์ให้ทุกคนในสังคมตระหนักรู้ถึงผลเสียของคอร์รัปชันและไม่ยอมรับการทุจริตในทุกรูปแบบ โดยอาศัยช่องทางที่หลากหลาย ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง “ต้องแฉ” และ “ACT AI” ไปจนถึงการผลักดันให้เกิดนโยบายและแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในระดับองค์กรและระดับประเทศ

บทส่งท้าย สู่สังคมไทยที่สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม

แม้ว่าการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันจะเป็นเรื่องท้าทายและต้องใช้เวลา แต่บิ๊ก สุภอรรถ และ HAND ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง หากเรามีความตั้งใจ มีพลังใจที่เข้มแข็ง และพร้อมที่จะร่วมมือกันอย่างจริงจัง ทุกย่างก้าวของภาคประชาชนและภาคส่วนต่างๆ ในการต่อต้านคอร์รัปชัน ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวไปสู่ความสุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม

สังคมไทยควรย้อนกลับมาทบทวนบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากการทำงานของผู้เสียสละเหล่านี้ และเริ่มต้นถามตัวเองว่า ในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง เราได้ทำอะไรบ้างเพื่อช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชันในประเทศ และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างไร เพื่อสานต่อความพยายามของคนรุ่นก่อน และสร้างสังคมไทยที่เราทุกคนใฝ่ฝันให้เป็นจริงได้ในที่สุด